ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้รับซื้อฝาก ผู้ขายฝาก หรือนายหน้าขายฝากแล้ว เมื่อเข้ามาอยู่ในวงการขายฝากและจำนอง ทุกคนจะต้องเคยได้ยินคำว่า “ซื้อไปโอนกลับ หรือ ซื้อไปขายกลับ” วันนี้ผมจะเล่าให้ฟังว่าคำๆนี้คืออะไร
คำว่า ซื้อไปโอนกลับ หรือ ซื้อไปขายกลับนั้น เป็นการทำธุรกรรมที่หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมขายฝาก โดยมีรายละเอียดการทำธุรกรรมดังนี้ ผู้ที่มีทรัพย์และต้องการเงิน ได้นำทรัพย์นั้นออกขายให้กับผู้รับซื้อกันในวันนี้และมีสัญญากันว่าเมื่อครบกำหนดเวลาแล้วผู้ซื้อจะต้องขายทรัพย์นั้นคืนกลับให้ผู้ที่ขายทรัพย์นั้นมา นี้เป็นลักษณะของการทำธุรกรรม ซื้อไปโอนกลับหรือซื้อไปขายกลับ
ซึ่งถ้าจะดูกันที่เนื้อหาของการทำธุรกรรมแล้วจะพบว่าลักษณะของธุรกรรมนั้นเหมือนกับธุรกรรมขายฝากนั่นเอง แต่ต่างกันที่ขั้นตอนในการดำเนินการทำธุรกรรม เพราะเวลาไปจดทะเบียนที่กรมที่ดินนั้น ขายฝากจะไปจดทะเบียน ขายฝาก ส่วนการซื้อไปโอนกลับนั้นจะไปจดทะเบียนกันเป็น ขาย
สำหรับเหตุผลที่หลายคนเลี่ยงการธุรกรรมขายฝาก เพราะ หลายคนเชื่อว่าเมื่อไปจดทะเบียนขายฝากไว้แล้ว เมื่อต้องการทำธุรกรรมกับทางธนาคารพาณิชย์ต่อ เช่น การขอรีไฟแนนซ์กับแบงค์ การขอกู้เงินธนาคาร จะไม่สามารถทำต่อได้ เพราะธนาคารจะไม่ชอบ (ให้เครดิตสกอร์ในการกู้เงินต่ำ) หรือธนาคารไม่ยอมให้ไปต่อเลย สรุปทำให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์นั้นดูเป็นคนที่มีเครดิตไม่ดีกับทางธนาคาร ผู้ขอกู้หลายๆคนจึงหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนขายฝากนั่นเอง
แล้วถ้าทำซื้อไปโอนกลับละจะเป็นอย่างไง ในเมื่อก็มีผลลัพธ์ที่เหมือนกับการขายฝาก ผมจะบอกว่าที่จริงแล้วมันค่อนข้างจะแตกต่างกันมากเลย แต่ให้สรุปสั้นๆ ก่อนก็มี 2 เรื่องที่ผู้ขายฝากต้องระวัง คือ
เรื่องที่ 1 การซื้อไปโอนกลับนั้น แม้ตอนจดทำธุรกรรมจะมีค่าธรรมเนียมที่เหมือนกับการขาย แต่ตอนที่ไถ่ถอนนั้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า เพราะตอนซื้อคืนนั้น ผู้ขายฝากจะต้องซื้อคืนโดยเสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วยถ้าหากซื้อกลับไม่เกิน 5 ปี ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากกว่าปกติของขายฝาก
และ เรื่องที่ 2 ผู้ขายจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ซื้อนั้นจะขายทรัพย์นั้นกลับคืนให้กับเจ้าของเดิม ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
สำหรับตัวผมแล้วถ้าไม่มีเงื่อนไขใดๆเป็นพิเศษแล้ว ถ้าต้องการทำขายฝากก็ควรทำขายฝากให้ถูกต้องตามกฏหมายนะครับ เพราะธุรกรรมอะไรที่ยิ่งมีความซับซ้อนแล้วก็ยิ่งต้องมีความรู้และความระมัดระวังให้มากยิ่งๆขึ้นไป
